วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Active Voice กับ Passive Voice คืออะไร




Active Voice กับ Passive Voice คืออะไร
ได้ยินคำเหล่านี้แล้วอย่าเพิ่งงงนะครับ มันเป็นแค่ชื่อเรียกเท่านั้น จุดมุ่งหมายที่แท้จริงคือการมาเรียนรู้โครงสร้างของประโยค ว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร แตกต่างจากโครงสร้างของภาษาเราอย่างไร
สองคำนี้เป็นชื่อเรียกประโยคในภาษาอังกฤษที่มีความแตกต่างกันสองชนิดดังนี้
Active Voice หมายถึงประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำ  (ใคร ทำอะไร) เช่น
Thai people eat rice. คนไทยกินข้าว (ประธานคือ คนไทย)
Passive Voice หมายถึงประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ (ใคร ถูกทำ) เช่น
Rice is eaten by Thai people. ข้าวถูกกินโดยคนไทย (ประธานคือ ข้าว)
โครงสร้าง Passive Voice เป็นอย่างไร มีเท่าไหร่
โครงสร้างก็คล้ายกับ Active Voice ( Tense ทั้ง 12 ที่ได้เรียนไปแล้ว ) เพียงแค่มี Verb to be มาคั่น และกริยาหลักคือ ช่อง 3 หมดเลย และมีอยู่ทั้งหมด 12 รูปแบบประโยคเช่นกัน
ถ้าจะพูดให้ฟังใหม่ก็คือว่า Tenseย่อย มี 12 ตัว  แต่ละตัวสามารถแบ่งออกเป็นสองชนิด ดังนี้
Present Tense
  • Present simple tense (Active voice ) เรียนไปแล้ว จากบทเรียน tense 12
  • Present simple tense (Passive voice ) ยังไม่เรียน
  • Presenst continuous tense (Active voice) เรียนไปแล้ว จากบทเรียน tense 12
  • Presenst continuous tense (Passive voice) ยังไม่เรียน
  • Present perfect tense (Active Voice) เรียนไปแล้ว จากบทเรียน tense 12
  • Present perfect tense (Passive Voice) ยังไม่เรียน
  • Present perfect continuous tense (Active Voice) เรียนไปแล้ว จากบทเรียน tense 12
  • Present perfect continuous tense (Passive Voice) ยังไม่เรียน
ยกตัวอย่างแค่ Present Tense ให้ดูนะครับ นับดูแล้วได้ 8 เพราะมันมีโครงสร้างที่ต่างกัน รวมกับ Past Tense อีก 8 และ Future Tense อีก 8 รวมเป็น 24 โครงสร้าง
ดังนั้น ถ้ามีคนถามเกี่ยวกับเรื่อง Tense ให้อธิบายดังนี้
  • Tense ใหญ่ๆ มี 3 Tense คือ Present Tense / Past Tense  / Future Tense
  • แต่ละ Tense แบ่งย่อยออกเป็น 4 Tense ย่อย คือ Simple / Continuous / Perfect / Perfect Continuous
  • แต่ละ Tense ย่อย แบ่งรูปแบบประโยคออกเป็น 2 ชนิด คือ Active Voice / Passive Voice
  • ดังนั้น ถ้าเราจะเรียนเรื่อง Tense เราต้องเรียนรู้โครงสร้างที่ต่างกัน 24 โครงสร้าง
  • แต่จริงๆแล้ว ไม่ได้นำมาใช้ทั้งหมดหรอก เอามาใช้จริง ไม่ถึงครึ่งเลย คอนเฟิร์ม
 แล้ว Tense 12 ที่เรียนมาแล้วคืออะไร
Tense ทั้ง 12 ที่เรียนไปแล้วเป็นประโยค Active Voice คือ ประธานเป็นคนกระทำทั้งหมด โดยไม่พูดถึง Passive Voice เลย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ โครงสร้าง Active Voice เสียก่อน ถ้าเข้าใจดีแล้ว การเรียนรู้ Passive Voice ก็จะไม่ยากเท่าไหร่ เพราะต่างกันแค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าให้เรียนรู้ควบกับไปเลยทั้งหมด เดี๋ยวจะงงกันเสียเปล่าๆ
เหตุผลที่ให้เรียนโครงสร้าง Active Voice ให้เข้าใจก่อนนั้นก็เพราะว่ามันเป็นหัวใจของภาษาอังกฤษนั้นเอง ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้ว ภาษาอังกฤษก็จะเป็นเรื่องง่ายๆทันที เพราะผู้เรียนสามารถอ่านเนื้อหาต่างๆที่เป็นภาษาอังกฤษได้แล้ว อาจติดขัดบ้างที่คำศัพท์ก็สามารถใช้ดิกชันนารีช่วยได้
ตัวอย่างประโยค
Present Tense
Thai people grow rice in rainy season. คนไทยปลูกข้าวในฤดูฝน (ใครปลูกข้าว ก็คนไทยไง)
Rice is grown in rainy season.
ข้าวถูกปลูกในฤดูฝน (ใครปลูกไม่สน สนแต่ว่าปลูกเมื่อไหร่)
Rice is grown by Thai people.
ข้าวถูกปลูกโดยคนไทย (ปลูกเมื่อไหร่ไม่สน สนแต่ว่าใครปลูก)
That woman is hitting a cat. หญิงคนนั้นกำลังตีแมว (ใครตี ก็ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนตี)
A cat is being hit.
แมวตัวหนึ่งกำลังถูกตี (ไม่ต้องการรู้ว่าใครตี ต้องการรู้แค่ว่าแมวโดนตี)
A cat is being hit by that woman.
แมวตัวหนึ่งกำลังถูกตีโดยผู้หญิงคนนั้น (ตัวนี้เป็นประโยคสมบูรณ์ แต่นิยมใช้ด้านบน)
He has built the house for two years. เขาได้สร้างบ้านมาแล้วเป็นเวลาสองปี
The house has been built for two years.
บ้านได้ถูกสร้างมาแล้วเป็นเวลาสองปี
Past Tense
We grew rice yesterday. พวกเราปลูกข้าวเมื่อวานนี้
Rice was grown yesterday.
ข้าวถูกปลูกเมื่อวานนี้
Future Tense
We will grow rice tomorrow. เราจะปลูกข้าวพรุ่งนี
Rice will be grown tomorrow.
ข้าวจะถูกปลูกพรุ่งนี้
ถึงแม้จะมีตั้ง 12 แต่ใช้จริงแค่ 4-5 อันตามตัวอย่างแค่นั้นแหละ เดี่ยวค่อยมาเรียนรู้ทีละอันนะครับ


ที่มา: http://ภาษาอังกฤษออนไลน์.com/active-voice

หลักการใช้ will,would,shall,should





หลักการใช้ will,would,shall,should
Will กับ Shall จริงๆ แล้วใน Future Simple Tense แปลว่า จะ ด้วยกันทั่งคู่
I, We ใช้ shall
He, She, It, We, They ใช้ will
We shall go to school tomorrow. พวกเราจะไปโรงเรียนพรุ่งนี้
He will go to school next week. เขาจะไปโรงเรียนพรุ่งนี้
แต่ในปัจจุบันคำว่า Shall จะไม่นิยมเท่าไหร่ ส่วนมากจะใช้ Will  แทน ดังตัวอย่างใน Future Simple Tense
รูปย่อปฏิเสธ
I shall not
He shall not
She shall not
It shall not
We shall not
They shall not
I shan’t
He shan’t
She shan’t
It shan’t
We shan’t
They shan’t
  • shall อ่านว่า แชล
  • shan’t อ่านว่า ช้าน  ย่อมาจาก shall not
  • shall ไม่มีรูปย่อเหมือน will >> ‘ll
แล้วสองคำนี้เอาไปใช้อย่างไร ต่างกันอย่างไร
ขอกล่าวถึงหลักการใช้ที่พบเห็นบ่อยๆนะครับ
  • การใช้ will
    • ใช้บอกว่าจะทำอย่างโน้นอย่างนี้ ดังที่กล่าวมาแล้วใน Future Simple Tense
      I will buy a bike next month.
      ฉันจะซื้อจักรยานเดือนหน้า
      Will you buy a bike next month?
      คุณจะซื้อจักรยานเดือนหน้าใช่ใหม
    • ใช้เพื่อเป็นการให้คำมั่นสัญญา (มักใช้กับ I We)
      I will always love you.
      ฉัน (สัญญาว่า) จะรักคุณเสมอ
      We will never do this again.
      พวกเรา (สัญญาว่า) จะไม่ทำอย่างนี้อีก
    • ใช้เพื่อขอร้อง (เป็นประโยคคำถาม แต่ไม่ใช่คำถาม)
      Will you open the door, please.
      ช่วยเปิดหน้าต่างให้หน่อยครับ
      Will you sit here, please.
      ช่วยนั่งตรงนี้ด้วยครับ
      แต่โดยมากนิยมใช้คำว่า Would, Could แทน will เพราะสุภาพกว่า
  • การใช้ Shall
    • ใช้เพื่อแนะนำ ชักชวน (เชิงออกคำสั่ง)
      Shall we go now?
      เราควรไปเดี๋ยวนี้ไหม
      You shall leave tomorrow.
      คุณควรไปพรุ่งนี้ (อยากบอกว่าห้ามไปวันนี้)
      They shall pay now.
      พวกเขาควรจ่ายเดี๋ยวนี้(ไม่งั้น…..)
    • ใช้เพื่ออนุญาต หรือยื่นข้อเสนอ
      Shall we stay here?
      พวกเราขอพักที่นี่ได้ไหม (ขออนุญาต)
      Shall I play games, mom?
      ผมขอเล่นเกมได้ไหมแม่ (ขออนุญาติ)
      Shall I get you some coffee?
      ผมชงกาแฟให้คุณนะครับ (ยื่นข้อเสนอ)
      Shall I wash the car?  
      ผมล้างรถเองนะครับ (ยื่นข้อเสนอ)
การขออนุญาตสามารถใช้คำว่า Can, Could, May แทน Shall ก็ได้
หลักการใช้ Should (น่าจะ)
should not ย่อเป็น shouldn’t (ชุ๊ดดึนท)
  • ประธาน + should+กริยาช่องที่ 1 (ใช้เพื่อแนะนำ) 
    • You should finish your work now.คุณควรทำงานให้เสร็จเดี๋ยวนี้นะ (เดี๋ยวเจ้านายว่าเอา)
    • She should see the doctor.หล่อนควรไปพบหมอ (เพราะว่าไม่สบาย)
    • They should leave tomorrow.พวกเขาควรไปพรุ่งนี้ (ตอนนี้ดึกแล้ว)
    • What should we do?พวกเราควรทำอย่างไร
    • We should tell him the truth.พวกเราควรบอกความจริงแก่เขา
  • ประธาน + should + have + กริยาช่องที่ 3 (ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านไปแล้ว ซึ่งเป็นการพูดตรงกันข้ามกับความจริงที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่ใช้เพื่อตำหนิ ติเตียน)
    • He should have told me what happened yesterday.เธอควรบอกฉัน ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวาน (ความจริงคือเขาไม่ได้บอก)
    • You shouldn’t have made her cry.คุณไม่น่าทำให้เธอร้องให้ (ความจริงคือทำให้ร้องให้ไปแล้ว)
    • They shouldn’t have driven too fast.พวกเขาไม่น่าขับรถเร็วเกินไป (ความจริงคือขับรถเร็ว และโดนจับแล้วด้วย)
    • I should have eaten more fruit.ฉ้นน่าจะกินผลไม้ให้มากขึ้น (ความจริงคือไม่ค่อยได้กิน ร่างกายเลยขาดสารอาหารประเภทวิตามิน)
    • We should have finished our project on time.พวกเราน่าจะดำเนินโครงการให้เสร็จทันเวลา (ความจริงคือไม่เสร็จ โดนเขาฟ้องร้องตามระเบียบ)
หลักการใช้ Would (จะ)
would not ย่อเป็น wouldn’t (วุ๊ดดึนท) = จะไม่
คำว่า will กับ would ในความหมายทั่วไป แปลว่า จะ
แต่คำว่า will หมายถึง จะ ในอนาคต ส่วนคำว่า would หมายถึง จะ ในอดีต เช่น
I will go to school early tomorrow. ฉันจะไปโรงเรียนแต่เช้าพรุ่งนี้
When I was in Pratom 1, I would go to school early. ตอนที่ฉันอยู่ ป.1 ฉันจะไปโรงเรียนแต่เช้า
  • ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีต ว่าจะอย่างโน้นอย่างนี้
    • When I was young, I would go to temple with my grandma.ตอนที่ฉันเป็นเด็ก ฉันจะไปวัดกับย่า
    • When I was five, I would listen to the story before going to bed.ตอนที่ฉันอายุ 5 ขวบ ฉันจะฟังนิทานก่อนเข้านอน
    • My mom would go shopping every Sunday last year.แม่ของฉันจะไปชอปปิ้งทุกวันอาทิตย์เลย เมื่อปีที่แล้ว
    • I knew that he would be successful.ฉันรู้ว่าเขาจะประสบควมสำเร็จ
  • ใช้ขอร้องอย่างสุภาพ (เป็นประโยคคำถาม แต่ไม่ใช่คำถาม)
    • Would you open the door, please?คุณช่วยกรุณาเปิดประตูให้หน่อยได้ไหม
    • Would you help me, please?คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม
    • Would you please check this for me?คุณช่วยตรวจดูอันนี้ให้ฉันหน่อยได้ไหม
  • Would + like หมายถึง ความต้องการ(would like ย่อเป็น ‘d like)
    • What would you like to have?คุณต้องการทานอะไร
    • What would you like to drink?คุณต้องการดื่มอะไร
    • Would you like some coffee?คุณต้องการกาแฟไหม
    • I’d like tea, please.ผมต้องการกาแฟครับ
    • I’d like to have salad.ฉันต้องการทานสลัด
  • ใช้ในประโยคเงื่อนไข (ไว้เรียนรู้เต็มๆในเรื่อง หลักการใช้ ประโยคเงื่อนไข
    • If he came, I would go.ถ้าเขามา ฉันจะไป
    • If you had won the lottery, I would have married you.ถ้าคุณถูกล็อตเตอรี่ ฉันคงจะได้แต่งงานกับคุณไปแล้ว


ที่ีมา: http://ภาษาอังกฤษออนไลน์.com